Advertisement
เทคนิคและกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning
เทคนิคและกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning การนำแนวคิด Active Learning มาใช้ในห้องเรียนนั้น สามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับบริบทของเนื้อหา ระดับชั้น และความพร้อมของผู้เรียน ต่อไปนี้คือตัวอย่างเทคนิคและกิจกรรมที่นิยมใช้กัน
Advertisement
1. การเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning: PBL)
PBL เป็นวิธีการเรียนรู้ที่ใช้ปัญหาจริงหรือสถานการณ์จำลองเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ ผู้เรียนจะต้องทำงานเป็นกลุ่มเพื่อวิเคราะห์ปัญหา หาข้อมูล และเสนอแนวทางแก้ไข วิธีนี้ช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการทำงานเป็นทีม
ตัวอย่างกิจกรรม: ในวิชาวิทยาศาสตร์ ครูอาจนำเสนอปัญหาขยะพลาสติกในท้องถิ่น ให้นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์สาเหตุ ผลกระทบ และเสนอแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้ โดยต้องค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมและนำเสนอผลงานในรูปแบบโครงงาน
2. การเรียนรู้แบบโครงงาน (Project-Based Learning)
การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นการให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงในการสร้างชิ้นงานหรือผลงานที่สอดคล้องกับเนื้อหาที่เรียน วิธีนี้ช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกการวางแผน การจัดการ และการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
ตัวอย่างกิจกรรม: ในวิชาวิทยาศาสตร์ นักเรียนอาจได้รับมอบหมายให้ทำโครงงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้ออกแบบและสร้างอุปกรณ์ประหยัดพลังงานที่สามารถใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
3. การอภิปรายกลุ่ม (Group Discussion)
การอภิปรายกลุ่มเป็นวิธีที่ช่วยให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ฝึกการรับฟังและการแสดงเหตุผล ครูอาจใช้คำถามปลายเปิดหรือประเด็นที่น่าสนใจเป็นจุดเริ่มต้นของการอภิปราย
ตัวอย่างกิจกรรม: ในวิชาสังคมศึกษา ครูอาจยกประเด็นเกี่ยวกับการใช้โซเชียลมีเดียในปัจจุบัน ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มอภิปรายถึงข้อดี ข้อเสีย และแนวทางการใช้อย่างสร้างสรรค์ จากนั้นให้แต่ละกลุ่มนำเสนอสรุปประเด็นสำคัญ
เรื่องที่น่าสนใจ :
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบActive Learning ปลุกพลังการเรียนรู้ (prakaspon.com)
เทคนิคและกิจกรรมการเรียนรู้แบบActive Learning (prakaspon.com)
Advertisement
การนำActive Learning ไปใช้ให้ประสบความสำเร็จ (prakaspon.com)
4. การสวมบทบาทสมมติ (Role-Playing)
การสวมบทบาทสมมติช่วยให้ผู้เรียนได้เข้าใจมุมมองที่หลากหลาย ฝึกการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และพัฒนาทักษะการสื่อสาร วิธีนี้เหมาะสำหรับการเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วรรณคดี หรือสถานการณ์ทางสังคม
ตัวอย่างกิจกรรม: ในวิชาประวัติศาสตร์ ครูอาจจัดกิจกรรมให้นักเรียนสวมบทบาทเป็นบุคคลสำคัญในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ เช่น การประชุมสันติภาพหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยให้แต่ละคนศึกษาข้อมูลของตัวละครที่ได้รับ และแสดงบทบาทในการเจรจาต่อรอง
5. การใช้เกมในการเรียนรู้ (Game-Based Learning)
การใช้เกมในการเรียนรู้ช่วยสร้างความสนุกสนานและกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน โดยสอดแทรกเนื้อหาสาระไว้ในรูปแบบของเกม วิธีนี้ช่วยให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาได้ดีขึ้นและมีแรงจูงใจในการเรียน
ตัวอย่างกิจกรรม: ในวิชาคณิตศาสตร์ ครูอาจออกแบบเกมบิงโกที่ใช้โจทย์คณิตศาสตร์แทนตัวเลข หรือในวิชาภาษาอังกฤษ อาจใช้เกมใบ้คำศัพท์เพื่อทบทวนคำศัพท์ที่เรียนมา
6. การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning)
การเรียนรู้แบบร่วมมือเน้นให้ผู้เรียนทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ โดยสมาชิกในกลุ่มมีความรับผิดชอบร่วมกันในการเรียนรู้ วิธีนี้ช่วยพัฒนาทักษะทางสังคม การสื่อสาร และการทำงานเป็นทีม
ตัวอย่างกิจกรรม: ในวิชาวิทยาศาสตร์ ครูอาจใช้เทคนิค Jigsaw โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนๆ ให้แต่ละคนในกลุ่มรับผิดชอบศึกษาคนละส่วน จากนั้นให้กลับมาสอนเพื่อนในกลุ่ม และร่วมกันทำแบบฝึกหัดหรือโครงงาน
7. การใช้เทคโนโลยีในการเรียนรู้ (Technology-Enhanced Learning)
การใช้เทคโนโลยีในการเรียนรู้ช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความหลากหลายให้กับกิจกรรมการเรียนรู้ อีกทั้งยังช่วยพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน
ตัวอย่างกิจกรรม: ครูอาจใช้แอพพลิเคชั่นตอบคำถามแบบเรียลไทม์ เช่น Kahoot หรือ Quizizz ในการทบทวนความรู้ หรือให้นักเรียนสร้างวิดีโอสั้นๆ เพื่ออธิบายแนวคิดที่เรียน โดยใช้แอพตัดต่อวิดีโอบนสมาร์ทโฟน
การนำเทคนิคและกิจกรรมเหล่านี้มาใช้ในห้องเรียน ไม่เพียงแต่จะช่วยให้การเรียนรู้มีชีวิตชีวาและน่าสนใจมากขึ้น แต่ยังช่วยพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 อีกด้วย อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้เทคนิคและกิจกรรมใดนั้น ครูจำเป็นต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับเนื้อหา วัตถุประสงค์การเรียนรู้ และความพร้อมของผู้เรียนเป็นสำคัญ
ขอบคุณข้อมูลจาก : krooprakas.com